tag:blogger.com,1999:blog-8164956618400613232023-06-20T21:19:10.815-07:00witchy นายจิระภัทธ์ เฉิดวาสนา รหัสนักศึกษา 537010140230 ป.บัณฑิตวิชาชีพครู หมู่ 2 ภาคปกติ...witchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-816495661840061323.post-43957720232225609522010-08-23T07:20:00.000-07:002010-08-23T07:28:52.775-07:00E-office1. E-office มีอะไรบ้าง<br /> 1.1 ระบบปฏิทินงานออนไลน์<br /> 1.2 ระบบเก็บข้อมูลลูกค้า<br /> 1.3 ระบบ Call Center บริการหลังการขาย<br /> 1.4 ระบบเอกสาร ออนไลน์<br /> 1.5 ระบบขาย<br /> 1.6 ระบบสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์,จองห้องประชุม,รถยนต์<br /> 1.7 ระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์<br /> 1.8 ระบบจัดเก็บไฟล์<br /> 1.9 ระบบ Knowledge Base<br /> 1.10 ระบบจัดการสินค้า<br /> 1.11 ระบบจัดซื้อ<br /> 1.12 ระบบส่งSMS<br /><br /><br />2. ประวัติความเป็นมา E-office<br /> สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-office) คือการรับส่งเอกสาร ข้อความ หนังสือราชการ หนังสือเชิญประชุม หนังสือเวียนต่าง ๆ ในแต่ละวันจะมีจำนวนมาก การดำเนินการดังกล่าวต้องมีการใช้ระบบทำสำเนากระดาษ ถ่ายเอกสาร ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เสียเวลาในการดำเนินงาน อีกทั้งการรับส่งด้วยกระดาษต้องใช้คนส่ง เป็นการเดินทางของหนังสือที่ล่าช้า ยิ่งอยู่ระหว่างสาขาวิทยาบริการฯ ยิ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางมาก การดำเนินการงานสำนักงานที่เกี่ยวกับเอกสารจึงสามารถก้าวมาใช้งานแบบ e-Office ได้ โดยการใช้เครือข่ายที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ซึ่งมีการเชื่อมโยง ทุกคณะ ทุกหน่วยงาน ทุกอาคาร ของมหาวิทยาลัย ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยผ่านทางเครือข่ายนี้ ขณะเดียวกันหน่วยงานทุกหน่วยงานมีความรู้ความสามารถใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อเพื่อการรับส่งข้อมูลข่าวสาร จึงควรใช้ช่องทางการสื่อสารนี้เพื่อดำเนินการรับส่งเอกสาร ข้อความ หนังสือราชการ หนังสือเชิญประชุม หนังสือเวียนต่าง ๆ ให้กับทุกหน่วยงานได้ การดำเนินการ e-Office ต้องเน้นในเรื่องความทันสมัย ความรวดเร็ว ความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของข้อมูล ดังนั้นงานระบบ e-Office ที่กำลังจะนำมาใช้จะเริ่มจากการนำเสนอทางเดียวในลักษณะหนังสือเวียนก่อน(ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเอกสารแบบ PDF) ขณะเดียวกันก็มีการให้ความรู้และนำเอาเรื่อง Security มาใช้ประกอบด้วย เพื่อนำไปสู่การนำเสนอให้มีการนำเอาลายเซนต์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) และวิธีการตรวจสอบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการลงนามต่างๆ<br /><br /><br />3. จุดประสงค์<br /> จุดประสงค์หลัก คือ การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ระบบเช่นนี้เป็น การนำเครื่องมือ เครื่องใช้ หลาย ๆ อย่าง รวมเข้าด้วยกัน, ใช้งานร่วมกัน, เก็บรักษา, นำไปใช้ และกระจายข้อมูล ระหว่างผู้ร่วมงาน แต่ละคน , ทีมงาน และธุรกิจ นั้น ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร ตัวอย่างของเครื่องมือ สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ เช่น เวิร์ดโปรเซสซิ่ง, เครื่องพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ, อีเมลล์, วอยซ์เมลล์, เครื่องแฟกซ์, มัลติมีเดีย, คอมพิวเตอร์ คอนเฟอร์เรนซิ่ง และ วิดิโอคอนเฟอร์เรนซิ่ง<br /><br /><br />4. วัตถุประสงค์ของ E-office<br /> เพื่อลดการใช้กระดาษตามนโยบายการบริหารงานเอกสารแบบ eOffice แล้วหันมาใช้ กระดาษอิเล็กทรอนิกส์แทน การพัฒนาระบบ eoffice จะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับประชาคมโลกทุกคน ทุกคนคือคนสำคัญที่จะช่วยกันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานของตัวเองตั้งแต่จุดเริ่มต้นรับเอกสารต้องแปลงเอกสารเป็นอิเล็กทรอนิกส์แล้วนำเข้าระบบ ส่วนผู้รับเอกสารที่ขอรับแต่กระดาษต้นฉบับแบบเดิมก็คงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานของตัวเองโดย login เข้ามารับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางระบบ eOffice แทน<br /><br /><br />5. เป้าหมายของ E-office<br /> เป้าหมายของการใช้ระบบ eOffice จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาคมทุกคนที่เป็นผู้ใช้ จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้เอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น เริ่มเปลี่ยนตัวเองตั้งแต่วันนี้เรามีช่องทางหลายช่องทางในการสื่อสารอยู่แล้ว เช่น ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ระบบค้นหาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบหนังสือเวียนอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเมลล์ ระบบข่าวทาง Intranet เป็นต้น ลองเข้ามาใช้ดูก่อน ในอนาคตอันใกล้เราจะใช้ระบบ eOffice ร่วมกัน ถึงวันนั้นทุกคนจะได้ไม่รู้สึกว่าเราปรับตัวไม่ได้ หรือสิ่งนี้ทำไม่ได้ หรือเป็นของใหม่ยังไม่คุ้น<br /><br /><br />6. ข้อดี - ข้อเสียของ E-office<br />ข้อดี ของ สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Office)<br />1. ลดเวลาในการติดต่อสื่อสาร<br />2. เพิ่ม ขีดความสามารถของพนักงานในการซื้อบ้าน ที่อยู่ไกลจากตัวเมืองได้ เนื่องจากบ้านที่อยู่<br />ในเมืองนั้นมีราคาแพง ซึ่งจะลดปัญหาเรื่องการเดินทาง<br />3. เพิ่มความสามารถของพนักงานในการสามารถควบคุมตนเองได้ <br />4. อนุญาตให้พนักงานที่มีความสามารถ และรอบรู้สามารถปฏิบัติงานที่บ้านได้<br />5. บริษัทสามารถติดต่อกับตลาดและบริษัทต่างประเทศนอกเวลาทำงาน<br />6. เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่างๆภายในสำนักงาน <br />7. การใช้เครื่องจักรแทนการปฏิบัติงานของมนุษย์เป็นการออกแบบวิธีการปฏิบัติงานที่มนุษย์ทำ<br />อยู่ใหม่ <br />8. ช่วยอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน<br />9. ประหยัดสถานที่จัดเก็บเอกสาร <br />10. เพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการจัดเก็บรวบรวมและค้นหา ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงาน<br />11. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานในสำนักงาน เช่น ด้านแรงงาน ด้านเครื่องมือ และด้านสถานที่จัดเก็บเอกสาร <br />12. ปรับปรุงการปฏิบัติงานเป็นแบบโลกาวิวัฒน์ หรือสำนักงานเสมือนจริง (Virtual Office)<br />ลดขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ในการจัดทำต้นฉบับ จัดทำสำเนา และทำลายเอกสาร <br />13. ลดภารกิจในการเดินทางไปประชุม มาเป็นการประชุมผ่านคอมพิวเตอร์ <br />14. ลดปัญหาการจัดทำ จัดเก็บเอกสารซ้ำซ้อน โดยใช้หลักการสำนักงานปราศจากเอกสาร<br />(Paperless Office) <br /><br />ข้อเสีย ของ สำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Office)<br />1. ลดการติดต่อแบบตัวต่อตัว (face-to-face) ระหว่างพนักงานในบริษัท<br />2. ทำให้ผู้บริหารรู้สึกว่าสูญเสียอำนาจการควบคุมลูกน้อง <br />3. การใช้ระบบอัตโนมัติในชีวิตประจำวันอาจทำให้เกิดความเสี่ยงเมื่อระบบการควบคุมอัตโนมัติปฏิบัติงานผิดพลาด <br />4. มี การเปลี่ยนแปลง วิธีปฏิบัติงานอาจทำให้พนักงาน ไม่ยอมรับการ ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติงาน และต้องการ การฝึกอบรมเพิ่มเติม <br />5. ผู้บริหารต้องลงทุนสูงซึ่งต้องวิเคราะห์ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล การปฏิบัติงาน ของพนักงาน <br /><br /><br />7. วิเคราะห์เหตุที่มี E-office นั้นเกิดขึ้นมาสอดคล้องกับสังคมปัจจุบันอย่างไร<br /> e-cffice สอดคล้องกับสังคมเป็นอย่างมากเพราะทำให้สังคมมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยเพราะการทำงาน ทำให้ประหยัดเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก การดำเนินการ e-Office ต้องเน้นในเรื่องความทันสมัย ความรวดเร็ว ความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของข้อมูล ดังนั้นงานระบบ e-Office ที่กำลังจะนำมาใช้จะเริ่มจากการนำเสนอทางเดียวในลักษณะหนังสือเวียนก่อน(ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเอกสารแบบ PDF) ขณะเดียวกันก็มีการให้ความรู้และนำเอาเรื่อง Security มาใช้ประกอบด้วย เพื่อนำไปสู่การนำเสนอให้มีการนำเอาลายเซนต์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) และวิธีการตรวจสอบลายเซนต์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการลงนามต่างๆwitchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-816495661840061323.post-51411168250816529432010-08-20T08:56:00.000-07:002010-08-20T08:57:43.622-07:00ตัวอย่างแผนการที่นำมาปรับปรุงใหม่แผนการสอนที่นำมาปรับปรุงใหม่<br />แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑<br /><br />กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓<br />หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ : ชื่อหน่วย ...................................เวลา..........ชั่วโมง<br />เรื่อง รูปลักษณ์คำไทย ( องค์ประกอบของคำ , คำมูล ) เวลา ชั่วโมง<br />ใช้สอนวันที่.................เดือน.......................พ.ศ......................<br />.............................................................................................................................<br />๑.มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น<br />ท ๔.๑.๑ เข้าใจการสร้างคำไทยตามหลักเกณฑ์ของภาษา<br />๒. สาระสำคัญ<br />คำ มีความสำคัญกับการติดต่อสื่อในชีวิตประจำวันมาก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของคำ และรูปลักษณ์ของคำไทย เพื่อให้ทราบที่มาของการสร้างคำและสามารถนำคำไปใช้ในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องตรงตามความหมาย และเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร<br />๓. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี<br />๑. เข้าใจหลักการสร้างคำไทย คำ และ ความสัมพันธ์ของคำ <br />๔. จุดประสงค์การเรียนรู้<br />๒. บอกลักษณะของคำมูลได้<br />๓. สามารถนำไปใช้ในการสื่อสารได้ถูกต้องตรงตามรูปลักษณ์ของคำต่างๆ<br />๕. การอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน<br />.................................................................................................................................<br />๖. คุณลักษณะอันพึงประสงค์<br />๑. เสริมสร้างความรักในภาษาไทย ภาคภูมิใจในภาษาไทยที่เป็นภาษาประจำชาติ <br />๒. รู้จักใช้คำได้ถูกต้องตรงตามรูปลักษณ์ของคำต่างๆ<br />๗. สาระการเรียนรู้ <br />๑. องค์ประกอบของคำ<br />๒.รูปลักษณ์ของคำไทย ( คำมูล )<br />( รายละเอียดอยู่ในภาคผนวก )<br />๘. กระบวนการจัดการเรียนรู้ (กิจกรรมการเรียนรู้)<br />๑. ทดสอบก่อนเรียน : ๒๐ นาที ครูรวบรวมกระดาษคำตอบและนำไปตรวจ แล้วแจ้งคะแนนในครั้งต่อไป <br />๒. : ครูพูดถึงการสร้างคำเป็นพื้นฐานของการใช้คำในภาษาไทย โดย รูปลักษณ์คำไทย มีหลายแบบ แล้วครูอธิบายถึงความสำคัญ และนำเข้าสู่บทเรียน รูปลักษณ์คำไทย<br />๓. : ครูแจกใบความรู้ นักเรียนศึกษาด้วยตัวเอง จากนั้นครูอธิบายประกอบใบความรู้<br />๔. นักเรียนสรุปข้อมูลความรู้จากใบความรู้ และตัวแทนอ่านผลการสรุปให้เพื่อนฟัง<br />๕. ครูแจกใบงาน ให้นักเรียนอ่านทบทวนคำสั่งให้ครูฟัง<br />๖. ครูตรวจสอบผลงาน จากการร่วมทำกิจกรรมของนักเรียน <br />๗. ครูสรุปความรู้เรื่อง รูปลักษณ์คำไทย ( คำมูล ) ให้นักเรียนจดบันทึกไว้ในสมุด<br />๘. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มค้นคว้า รวบรวมเกี่ยวกับเรื่อง คำมูล รวบรวมพิมพ์เสนอออกเป็นชิ้นงานส่ง<br />๙. แบบทดสอบหลังเรียน แล้วเปรียบเทียบคะแนนระหว่างการทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ<br />๙. การวัดผลและประเมินผล<br />๙.๑ ผู้ประเมิน<br />๑. ครูผู้สอน<br />๒. นักเรียน<br />๓. ผู้ปกครอง<br />๙.๒ ประเด็นการประเมิน<br />๑. ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน <br />๒. การมีส่วนร่วมในกิจกรรม <br />๓. ผลงาน<br />๙.๓ วิธีการวัดและประเมินผล<br />๑. สังเกตความถูกต้องในการตั้งคำถาม และการตอบคำถาม<br />๒. ทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน<br />๓. สังเกตการร่วมกิจกรรม<br />๔. ตรวจผลงาน<br />๙.๔ เครื่องมือการประเมิน<br />๑. แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน<br />๒. แบบสังเกตการร่วมกิจกรรม <br />๓. แบบการตรวจผลงาน<br />๙.๕ เกณฑ์การวัดและประเมินผล<br />๑๐. ถ้ามีนักเรียนยังไม่เข้าใจ ครูสอนซ่อมเสริมให้เฉพาะนักเรียนกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจwitchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-816495661840061323.post-79193471029980387752010-08-20T08:54:00.000-07:002010-08-20T08:55:19.959-07:00การบ้านวิชานวัตกรรม1. ชื่อ นวัตกรรม ประเภท ผู้พัฒนา เมื่อใด<br /><br /> ตอบ นวัตกรรม Everette M. Rogers (1983) ได้ให้ความหมายของคำว่า นวัตกรรม (Innovation) ว่า นวัตกรรมคือ ความคิด การกระทำ หรือวัตถุใหม่ ๆ ซึ่งถูกรับรู้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวบุคคลแต่ละคนหรือหน่วยอื่น ๆ ของการยอมรับในสังคม(Innovation is a new idea, practice or object, that is perceived as new by the individual or other unit of adoption)<br /><br />ดังนั้น นวัตกรรมอาจหมายถึงสิ่งใหม่ๆ ดังต่อไปนี้<br /><br /> 1. สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทำมาก่อนเลย<br /><br /> 2. สิ่งใหม่ที่เคยทำมาแล้วในอดีตแต่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่<br /><br /> 3. สิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม<br /><br />- ประเภทนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 6 ประเภทดังต่อไปนี้<br /><br />1. นวัตกรรมด้านระบบการศึกษา <br /><br />2. นวัตกรรมด้านหลักสูตร<br /><br />3. นวัตกรรมด้านการเรียนการสอน<br /><br />4. นวัตกรรมด้านการสื่อสารและเทคโนโลยี นวัตกรรมด้านการประเมินผล <br /><br />5. นวัตกรรมด้านการบริหารการศึกษา <br /><br />6. นวัตกรรมด้านการประเมินผล<br /><br /> - ผู้พัฒนา<br /><br /> ผู้ที่พัฒนานวัตกรรมต้องเป็นคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญโดยการบูรณาการความรู้ของระเบียบวิจัยทางคลินิกร่วมกับการดำเนินการวิจัยขณะปฏิบัติงานประจำหรือที่รู้จักกันว่า Routine to Research (R to R)<br /><br /> <br /><br />2. ที่มาและวัตถุประสงค์ในการพัฒนา<br /><br /> ตอบ “นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ ”การทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐอุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถในการเรียนรู้และนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้จริงอีกด้วย (พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ , Xaap.com)<br /><br />- วัตถุประสงค์ในการพัฒนา<br /><br /> 1. เพื่อพัฒนานวัตกรรมในด้านการเรียนการสอน<br /><br /> 1.1 การระบุปัญหา<br /><br /> 1.2 การกำหนดจุดมุ่งหมาย<br /><br /> 1.3 การศึกษาข้อจำกัดต่างๆ<br /><br /> 1.4 การประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม<br /><br /> 1.5 การทดลองใช้<br /><br /> 1.6 การเผยแพร่<br /><br /> 1.7 การยอมรับหรือต่อต้านนวัตกรรมนั้น<br /><br /> <br /><br />3. ขั้นตอนการพัฒนา<br /><br /> ตอบ 1. ประเมินความต้องการนวัตกรรม (need analysis) โดยประเมินสภาพปัญหาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนเพื่อค้นหาความบกพร่อง ความไม่สมบรูณ์ของสิ่งที่มีอยู่ และก่อให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติ/ การบริหารงานการพยาบาล รวมทั้งปัจจัยอุปสรรคที่อาจมีผลขัดขวางการพัฒนาคุณภาพบริการจากการใช้นวัตกรรม<br /><br />2. กำหนดประเด็นหรือหัวข้อ ที่ต้องการพัฒนานวัตกรรม ให้มีความเฉพาะเจาะจง ไม่ศึกษาหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน โดยนวัตกรรมที่จะพัฒนาอาจเป็น กลวิธี เทคนิค โปรแกรม วัสดุ/อุปกรณ์ การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม<br /><br />3. ทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบโดยตรวจสอบว่ามีกี่วิธีที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น การประเมินคุณภาพข้อมูลเชิงประจักษ์ทำโดย<br /><br /> 3.1 สืบค้นวรรณกรรมที่สนับสนุนความเข้าใจเกี่ยวกับการออกแบบนวัตกรรม<br /><br /> 3.2 ประเมินระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลเชิงประจักษ์ (level of evidence) หากมีประเด็นที่ยังไม่มีการทำวิจัยหรือพบความขัดแย้งในผลงานวิจัยจึงใช้ความเห็นสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญการวิจัยหรือการเทียบเคียงผลของการปฏิบัติงานต่างหน่วยงาน<br /><br />4. สังเคราะห์ข้อความรู้ที่ได้จากวรรณกรรมที่มีคุณภาพเมื่อนำมาบูรณาการวางแผนและการออกแบนวัตกรรม<br /><br />5. ออกแบบนวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติพยาบาลหรือการบริหารจัดการให้ดีขึ้น<br /><br />6. กำหนดวิธีวัดประสิทธิภาพของนวัตกรรมซึ่งอาจมาจากตัวชี้วัดสุขภาพผู้ป่วยหรือตัวชี้วัดคุณภาพของหอผู้ป่วยและองค์กร วิธีวัดส่วนใหญ่เป็นการวัดผลโดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ<br /><br />7. กำหนดรายละเอียดของวิธีการใช้นวัตกรรมในคลินิกหรือในการทดลอง<br /><br />8.ดำเนินการศึกษานวัตกรรมในหน่วยงานหรือองค์กรเป้าหมาย ตามแผนที่วางไว้ในข้อ5 ข้อ6 และข้อ7<br /><br />9. ประเมินประสิทธิภาพของนวัตกรรม ทั้งในด้านกระบวนการ รูปแบบและผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วย<br /><br />10.บันทึกโดยสรุปผลพร้อมแหล่งอ้างอิงที่ใช้ในการสร้างนวัตกรรมทางคลินิกและการอภิปรายผลลัพธ์ของนวัตกรรม<br /><br /> <br /><br /> 4. ลักษณะของนวัตกรรม<br /><br /> ตอบ 1. เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทำมาก่อนเลย<br /><br /> 2. สิ่งใหม่ที่เคยทำมาแล้วในอดีตแต่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้น มาใหม่<br /><br /> 3. สิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม<br /><br /> 4. เป็นสิ่งที่อยู่ในระหว่างการทดลอง<br /><br /> <br /><br />5. ผลการนำไปทดลองใช้<br /><br /> ตอบ ผลการนำนวัตกรรมไปทดลองใช้ในการศึกษานั้นเป็นการนำเอานวัตกรรมที่สร้างเสร็จเรียบร้อยและมีการประเมินตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรม ทั้งในด้านความเหมาะสมถูกต้องทางภาษา เนื้อหา และความสะดวกหรือปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการทดลองไปใช้สอนในสภาพบรรยากาศของชั้นเรียนจริงๆ โดยผู้ออกแบบนวัตกรรมจะต้องกำหนดรูปแบบการประเมินด้วยการระบุวัตถุประสงค์ตัวแปรที่ศึกษา ว่าต้องการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง เช่น ความสนใจ ผลสัมฤทธิ์ หรือ เวลาที่ใช้ ส่วนกลุ่มตัวอย่างต้องระบุว่าไปทดลองกับนักเรียน ระดับชั้นใด โรงเรียนไหน จำนวนเท่าใด เครื่องมือที่ใช้วัดได้แก่ แบบทดสอบ แบบบันทึกการสังเกตหรือแบบสัมภาษณ์ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลง่ายๆ เช่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ฯลฯ และกำหนดแนวทาง สรุปผลการทดลองใช้<br /><br /> <br /><br />6. ความคิดเห็นของผู้รายงาน<br /><br /> ตอบ - ข้อดีเด่นของนวัตกรรม นวัตกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในระบบการศึกษาเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดการพัฒนาในการเรียนการสอนและผลสำริดที่ดีต่อผู้เรียนและนำไปสู่การพัฒนาประเทศ<br /><br />- ข้อจำกัดของนวัตกรรม<br /><br /> 1. ข้อจำกัดทางด้านบุคลาการ ซึ่งอาจจะไม่มีความรู้ที่ดีพอ หรือไม่เข้าใจกระบวนการในการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีความรู้ดีพอ หรือ ไม่เชื่อมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่<br /><br /> 2. ความจำกัดทางด้านอุปกรณ์การเรียนการสอนโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์<br /><br /> 3. การขาดการสนับสนุนที่เพียงพอจากสถานศึกษา<br /><br />- ข้อเสนอแนะจากผู้รายงาน นวัตกรรมเป็นทรัพยากรที่มีคูณค่ามาหาศาล เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด นำไปใช้ในการพัฒนาระบบของการศึกษา เพราะระบบการศึกษาจะช่วยให้มนุษย์เกิดการพัฒนา และมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นนวัตกรรมเทคโนโลยีจึงมีความสำคัญกับมนุษย์เป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่พัฒนาระบบการศึกษา แต่ยังครอบคลุมทุกหน่อยงานในสังคม ดังนั้นเราต้องตระหนักถึงคุณค่าของนวัตกรรมเทคโนโลยีให้มากที่สุดและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างถูกวิธีwitchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-816495661840061323.post-31966789474152504682010-07-13T19:25:00.000-07:002010-07-13T19:26:59.172-07:00สื่อการเรียนการสอนนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอน<br /><br />การนำ e-learning ไปใช้ประกอบกับการเรียนการสอน สามารถทำได้ 3 ลักษณะ ดังนี้<br /><br /> 1. สื่อเสริม (Supplementary)<br /> หมายถึง การนำ e-learning ไปใช้ในลักษณะสื่อเสริม กล่าวคือ นอกจากเนื้อหาที่ปรากฏในลักษณะ e-learningแล้ว ผู้เรียนยังสามารถศึกษาเนื้อหาเดียวกันในนี้ในลักษณะอื่นๆเช่น จากเอกสารประกอบการสอน (Sheet) จากวีดิทัศน์ (Videotape) ฯลฯ การใช้ e-learning ในลักษณะนี้ เท่ากับว่า ผู้สอนเพียงต้องการจัดหาทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่งสำหรับผู้เรียนในการเข้าถึงเนื้อหาเพื่อให้ประสบการณ์พิเศษเพิ่มเติมแก่ผู้เรียนเท่านั้น<br /> <br /> 2. สื่อเติม (Complementary) <br /> หมายถึง การนำ e-learning ไปใช้ในลักษณะเพิ่มเติมจากวิธีการสอนในลักษณะอื่นๆ เช่น นอกจากการบรรยายในห้องเรียนแล้ว ผู้สอนยังออกแบบเนื้อหาให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมจาก e-learning ในประเทศไทย หากสถาบันใดต้องการที่จะลงทุนในการนำ e-learning ไปใช้ในการเรียนการสอนตามปกติ (ที่ไม่ใช่ทางไกล) แล้วอย่างน้อยควรตั้งวัตถุประสงค์ ในลักษณะของสื่อเติม(Complementary) มากกว่า แค่เป็นสื่อเสริม (Supplementary) เช่น ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาจาก e-learning เพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียนในประเทศไทย ซึ่งยังต้องการคำแนะนำจากครูผู้สอน รวมทั้งการที่ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังขาดการปลูกฝังให้มีความใฝ่รู้โดยธรรมชาติ<br /><br /> 3. สื่อหลัก (Comprehensive Replacement)<br /> หมายถึง การนำ e-learning ไปใช้ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมด ออนไลน์ ในปัจจุบัน e-learning ส่วนใหญ่ในต่างประเทศจะได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นสื่อหลักสำหรับแทนครูในการสอนทางไกล ด้วยแนวคิดที่ว่า มัลติมีเดียที่นำเสนอทาง e-learning สามารถช่วยในการถ่ายทอดเนื้อหาได้ใกล้เคียงกับการสอนจริงของครูผู้สอนwitchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-816495661840061323.post-47439986443277915032010-07-12T20:16:00.000-07:002010-07-12T20:21:55.854-07:00จุดเริ่มต้นของระบบการศึกษาไทยความเป็นมาของระบบการศึกษาไทย<br /><br />สังคมไทยเป็นสังคมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 700 ปี ถ้านับตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี แต่เหมือนกับทุกสังคมที่เป็นสังคมเกษตรจะถูกแบ่งเป็นชนชั้นปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง ในชนชั้นปกครองถ้าพูดอย่างกว้างๆ ก็จะมี 2 ส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่เป็นผู้บริหารประเทศกับผู้นำทางศาสนา ในส่วนของผู้ใต้ปกครองก็มักจะเป็นเกษตรกรหรือพ่อค้าวาณิชที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายแลกเปลี่ยน<br /> ในกลุ่มนักปกครองนั้นจะต้องมีทักษะพิเศษคือการรู้หนังสือเพื่อใช้ในการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร การร่างกฎหมายและกฎระเบียบ การเก็บประวัติความเป็นมาของสังคม การรู้หนังสือจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้มีความรู้เพราะอ่านออกเขียนได้ และเป็นการบ่งชี้ถึงการเป็นคนที่อยู่บันไดสังคมขั้นสูง ส่วนคนที่เป็นเกษตรกรนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือเลยก็ได้ แต่ขณะเดียวกันพ่อค้าวาณิชที่อยู่ในชุมชนเมืองมีความจำเป็นต้องจดบันทึกสินค้าที่มีคนซื้อโดยเชื่อเงินไว้ก่อน รวมทั้งต้องมีความสามารถในการเขียนตัวเลขเพื่อบอกจำนวนของสินค้าที่ซื้อเข้ามาหรือขายออกไป<br /> การศึกษาหรือการเรียนในสังคมโบราณนั้นจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างกลุ่มชนชั้นปกครองซึ่งต้องมีความรู้ในระดับที่สูงเพื่ออ่านเอกสารที่ซับซ้อน เช่น กฎหมายต่างๆ ขณะเดียวกันผู้นำทางศาสนาก็ต้องอ่านภาษาที่เป็นนามธรรมซับซ้อนและลึกซึ้งเช่นเดียวกัน และส่วนใหญ่มักจะมาจากอารยธรรมที่เหนือกว่า ในส่วนของพ่อค้าวาณิชจุดเน้นมักจะอยู่ที่การอ่าน การเขียน และตัวเลข<br /> สังคมลักษณะเยี่ยงนี้ก็สามารถดำเนินไปได้ ประเด็นสำคัญก็คือการศึกษาที่มีอยู่ในสังคมส่วนใหญ่จะมีเฉพาะบุคคลที่เป็นชนชั้นปกครองโดยมีการสอนเป็นส่วนตัวจากผู้รู้ภายในสังคมนั้นหรือมาจากต่างถิ่น ส่วนชนชั้นล่างก็ต้องศึกษาจากสถานศาสนา เช่น การบวชเป็นพระจึงศึกษาบาลีสันสกฤตและความคิดที่เป็นนามธรรมจนสามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การศึกษาตำราพิชัยสงคราม ฯลฯ<br /> โอกาสการเคลื่อนไหวทางสังคมของชนชั้นล่างจึงมีโอกาสเพียงการเติบโตได้ดิบได้ดีในองค์กรศาสนา หรือการรบทัพจับศึกจนเป็นแม่ทัพผู้แกล้วกล้า ส่วนการจะเข้ารับราชการเป็นขุนน้ำขุนนางนั้นอาจจะทำไม่ได้ง่ายนัก เพราะมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องมีทั้งความรู้ คุณานุรูปสืบเชื้อสายเสนาบดีเพื่อจะฝากตัวเป็นมหาดเล็กฝึกหัดการทำราชการการเคลื่อนไหวทางสังคมจึงถูกปิดกั้นโดยปริยาย<br /> แต่เนื่องจากความจำเป็นของการที่อยู่ในสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปิดประตูประเทศในยุครัชกาลที่ 4 ในสนธิสัญญาเซอร์จอห์นบาวริ่ง การให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาแก่ประชาชนเพื่อจะได้เป็นประชาชนที่มีคุณภาพ จึงเป็นนโยบายสำคัญของรัฐโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ได้ทรงมีพระราชดำริให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสดูแลเรื่องดังกล่าวปรับเปลี่ยนวัดให้เป็นโรงเรียนเพราะเป็นสถานที่ขยายการศึกษาได้เร็วและทั่วถึง<br /> ขณะเดียวกัน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกราบบังคมทูลฯ ให้ตั้งโรงเรียนสำหรับผลิตข้าราชการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสถาบันการศึกษาโดยพระราชทานนามว่า"โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนเป็น "โรงเรียนมหาดเล็ก" จนกลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน<br /> ในขณะเดียวกัน ช่วงนี้ก็มีความรู้ใหม่ๆ ไหลเข้ามาจากทางประเทศตะวันตก เช่น วิชาการแพทย์สมัยใหม่ ภาษาต่างประเทศการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ การเข้ามาของพวกมิชชันนารีได้นำไปสู่การเกิดโรงเรียนที่สอนศาสนา พร้อมๆ กับการสอนภาษาอังกฤษและวิชาสามัญทั่วไปขึ้น บุคคลที่สำคัญที่สุดคือ ฟ. ฮีแลร์ ซึ่งเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่ออายุ 20 ปี และพำนักอยู่ในประเทศไทยประมาณ60 ปี ท่านผู้นี้คือผู้ซึ่งมีส่วนในการสร้างโรงเรียนมิชชันนารีสำคัญๆขณะเดียวกัน ชนชาวจีนซึ่งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารก็ได้รวมกลุ่มกันตั้งโรงเรียนสอนภาษาจีนขึ้นทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดทั่วประเทศไทย โรงเรียนจากมิชชันนารีและโรงเรียนจีนจึงอยู่คู่กับสถาบันการศึกษาของไทย ซึ่งเริ่มต้นความรู้ให้อ่านออกเขียนได้เลขคณิต และวิชาที่เกี่ยวข้องต่างๆ<br /> ในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ได้มีการตั้งกระทรวงธรรมการหรือต่อมาคือกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งดูแลเกี่ยวกับการศึกษา โดยเสนาบดีคนแรกคือกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาฯ ที่ตั้งขึ้นมานั้นจุดประสงค์หลักคือการทำให้คนทั่วราชอาณาจักรสยามเรียนรู้ภาษาไทยราชการ ขณะเดียวกันก็มีการใช้หลักสูตรที่ทำให้คนเผ่าต่างๆ 50 กว่าเผ่าพันธุ์ ถูกผสมผสานกลมกลืนเป็นคนที่ใช้ภาษาเดียวกันในการเรียนการสอน สามารถสื่อสารกันได้ กระทรวงศึกษาธิการจึงเป็นกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างชาติ (Nation) ส่วนกระทรวงมหาดไทยเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างอำนาจรัฐ (State)<br /> แต่เนื่องจากโรงเรียนจีนถูกมองว่าเป็นที่เพาะลัทธิคอมมิวนิสต์รวมทั้งขัดขวางกระบวนการผสมผสานกลมกลืนให้คนไทยเชื้อสายจีนรับวัฒนธรรมไทย จึงมีมาตรการจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามบังคับให้โรงเรียนจีนสอนภาษาจีนวันละหนึ่งชั่วโมง และถูกปิดด้วยการกระทำที่ผิดกฎระเบียบเป็นจำนวนมาก โรงเรียนจีนเหล่านั้นยังแอบสอนเกินหนึ่งชั่วโมง เมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจก็มีการนัดแนะกันล่วงหน้า ในรายงานของเจ้าหน้าที่ก็มักจะลงว่า "เรียบร้อย"หมายความว่าไม่มีการทำผิดระเบียบ อันเป็นที่มาของคำว่า "เรียบร้อยโรงเรียนจีน"<br /> ในส่วนของการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยนั้น มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ในปี 2477 ก็มีการตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น ซึ่งเป็นสถาบันที่มุ่งเน้นในการฝึกหัดผู้ที่จะรับราชการในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ รวมทั้งการเป็นผู้พิพากษา การเป็นนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด หรือตำรวจ กล่าวอีกนัยหนึ่งเพื่อเป็นฐานการสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองจึงเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นคู่แข่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนั้น ขณะเดียวกันก็มีมหาวิทยาลัยศิริราชมหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยเกษตร ก่อนที่จะมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลาฯลฯ<br /> ในส่วนของโรงเรียนมัธยมโรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งเป็นของมิชชันนารีได้แก่ อัสสัมชัญบางรัก เซนต์คาเบรียล กรุงเทพคริสเตียน มาแตร์เดอี เซนต์โยเซฟ ฯลฯ ส่วนของรัฐได้แก่ สวนกุหลาบเทพศิรินทร์ ราชินี เป็นต้น โรงเรียนเอกชนได้แก่ อำนวยศิลป์ ไพศาลศิลป์ สารสิทธิ์ ศิริศาสตร์ ศิริทรัพย์ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดโรงเรียนพาณิชย์ขึ้น ที่เป็นของฝรั่งได้แก่ อัสสัมชัญพาณิชย์ (ACC)ขณะเดียวกันก็มีพาณิชย์พระนคร ตั้งตรงจิตรพณิชยการ พาณิชย์ธนบุรี นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนของเหล่าทัพและของตำรวจ<br /> สิ่งที่พัฒนาตามมาก็คือ โรงเรียนกวดวิชาสำหรับผู้ซึ่งไม่มีเวลาเรียนตามปกติ ตามคำกล่าวของอาจารย์เพทาย อมาตยกุล ที่กล่าวว่า "โตแล้วเรียนลัดดีกว่า" โรงเรียนกวดวิชาที่ดังที่สุดคือ วัดสุทัศน์วัดมหรรณพารามวรวิหาร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนตอนกลางคืนเพื่อเพิ่มพูนความรู้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาด้านภาษา<br /> ความต้องการเรียนหนังสือของคนรุ่นใหม่ได้นำไปสู่การเติบโตของโรงเรียนภาคเอกชน โรงเรียนพาณิชย์ต่างๆ ที่เลียนแบบอัสสัมชัญพาณิชย์เกิดขึ้นอย่างดาษดื่น จากผู้ซึ่งเคยศึกษาจากสถาบันดังกล่าวและเริ่มเกิดวิทยาลัยเอกชน ได้แก่ วิทยาลัยกรุงเทพวิทยาลัยหอการค้า ฯลฯ ก่อนจะเป็นมหาวิทยาลัย<br /> วิวัฒนาการการศึกษาของไทยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะมุ่งเน้นใช้หลักสูตรของอังกฤษ และหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็เริ่มถูกอิทธิพลของอเมริกัน การออกเสียงและการสะกดตัวภาษาอังกฤษถูกเปลี่ยนแปลง และที่รุนแรงที่สุดคือผู้ซึ่งจบจากสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาของไทยจนมีผลมาถึงปัจจุบัน<br /> ข้อสังเกตข้อหนึ่งคือ วิทยาลัยครูต่างๆ ซึ่งมุ่งเน้นเพื่อการฝึกครูรวมทั้งวิทยาลัยการศึกษาก็ได้แปรเปลี่ยนรูปเป็นมหาวิทยาลัยจนหมดสิ้นในปัจจุบัน รายละเอียดต่างๆ ยังมีอีกมาก แต่ที่ยกมาให้เห็นโดยสังเขปนี้เพื่อให้เห็นว่า วิวัฒนาการการศึกษาของไทยมีความเป็นมายาวนาน มีแหล่งความรู้จากหลายแหล่ง ทั้งจากอินเดีย จีนอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา โดยจุดประสงค์หลักสูตรเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และนโยบายของรัฐ ตลอดทั้งสถานการณ์ทางการเมืองสังคมและเศรษฐกิจในขณะนั้น<br /> ตัวอย่างเช่น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) คือสถาบันที่เกิดขึ้นในยุคการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นต้น ส่วนมหาวิทยาลัยรามคำแหงและมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นมหาวิทยาลัยเปิดที่ทดแทนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งแปรสภาพจากมหาวิทยาลัยเปิดมาเป็นมหาวิทยาลัยปิด มาในปัจจุบันมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งกำลังแปรสภาพจากหน่วยงานของรัฐซึ่งเทียบเท่าหนึ่งกรม กลายเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบซึ่งเป็นผลมาจากเงื่อนไขที่กำหนดมาจากสถาบันการเงินที่ให้ประเทศไทยกู้เงินโดยมีเงื่อนไขผูกไว้<br /> การศึกษาคือตัวแปรสำคัญในการสร้างคน คนคือตัวจักรสำคัญในการสร้างสังคม รัฐมนตรีที่ดูแลการศึกษาจึงต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความรอบรู้ประวัติศาสตร์และสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก จึงถือเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติยิ่งในสหรัฐอเมริกา เพราะอนาคตของประเทศชาติขึ้นอยู่กับการศึกษาและวัฒนธรรม ตราบเท่าที่ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษามีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อนาคตประเทศชาติย่อมไม่สามารถจะก้าวไปในทิศทางที่พึงประสงค์ได้ เพราะการศึกษาคือการสร้างคน คนสร้างสังคม สังคมก่อขึ้นมาเป็นชาติ--จบ--<br /><br /> ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต<br /> ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก<br /> www.dhiravegin.com<br /> likhit@dhiravegin.com<br /><br /> ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวันwitchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-816495661840061323.post-43672038873843934372010-07-04T22:39:00.000-07:002010-07-04T23:55:00.273-07:00เทคโนโลยีการนำข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ <br /><br /><br /> สำหรับงานบางประเภทที่ต้องมีการป้อนข้อมูลเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เช่น สำนักงานทะเบียนราษฎร หรือสำนักงานประจำสายการบิน งานเกี่ยวกับการป้อนข้อมูลเข้าระบบ computer มีความจำเป็นมาก และ เป็น <br />งานที่เสียเวลาและแรงงาน งานป้อนข้อมูลจึงจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย <br /> ทางด้านอุปกรณ์ป้อนข้อมูลเข้า Input แบ่งได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งไม่รวมถึง input ด้วยระบบสื่อสารข้อมูล <br /> กลุ่มที่ 1 ได้แก่ กลุ่มที่ป้อนด้วยตัวอักษร นั่นนั่นคือ แป้นพิมพ์ หรือ keyboard ซึ่งจะอ่านตัวอักษรและตัวเลขจากแป้นพิมพ์ตามที่ผู้พิมพ์กด เข้าไปเก็บไว้ใน Computer การป้อนข้อมูลเข้าแบบตัวอักษรอีกแบบหนึ่ง คือประเภทบัตรเจาะรู เครื่องอ่านบัตรเจาะรูจะอ่านเป็นรหัส อักขระตามที่ผู้ใช้เจาะไว้ แต่ปัจจุบันบัตรเจาะรูไม่ได้ใช้กันแล้ว <br /><br /> บัตรเจาะรู<br /><br /> กลุ่มที่ 2 ได้แก่ กลุ่มที่ป้อนข้อมูลด้วยอุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง การป้อนแบบนี้มีลักษณะเป็นการป้อนแบบ Graphic อุปกรณ์ที่เด่นชัดคือ Mouse ปากกาแสง Joystick Trackball <br /><br /> กลุ่มที่ 3 เป็นการอ่านข้อมูลเป็นรูปภาพเข้ามาเก็บใน computer ได้แก่พวก Scanner , OCR หรือเครื่องอ่านตัวอักษรจากภาษาที่แสดง ได้ (ปัจจุบัน OCR ในภาษาอังกฤษได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ สำหรับภาษาไทย <br />ยังไม่ประสพผลสำเร็จ) เครื่องอ่านรหัสแถบ (Bar code) <br /><br /> กลุ่มที่ 4 เป็นการป้อนข้อมูลด้วยเสียงได้แก่ระบบการจดจำเสียงพูด (Speech recognition) เป็นระบบทบทวนและตรวจสอบเสียงปัจจุบันยังไม่ได้ผลพอที่จะนำมาใช้งานอย่างจริงจัง เนื่องจากเสียงของคนแต่ละคนต่างกัน <br />แม้แต่คนคนเดียวกันพูดสองครั้งยังไม่เหมือนกัน จึงยังนำมาใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้ <br /><br /> กลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มที่ป้อนข้อมูลด้วยตัวตรวจจับพิเศษ เช่น Switch, Sensor วัดด้าน อุณหภูมิ ความดัน แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณอนาลอกเป็น ดิจิตอล การป้อนข้อมูลแบบอัตโนมัตเป็นระบบ ที่ใช้ในการควบคุมเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ <br /><br /> แป้นพิมพ์ อุปกรณ์อินพุตขั้นพื้นฐาน <br /> การพิมพ์เป็นเทคโนโลยีที่เก่าแก่เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกของโลกมี หลักฐานยืนยันว่ามีผู้ประดิษฐ์มาแล้วเกือบ 300 ปี แต่เครื่องพิมพ์ดีดที่ได้รับการจดทะเบียนและบันทึกหลักฐานไว้โดย เ?นรี่ มีล เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2257 พัฒนาการของพิมพืดีดก็ก้าวหน้าขึ้นมาเป้นลำดับ ครั้นถึงยุคสมัยอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แป้นพิมพ์ดีดจึงได้รับการนำมาใช้เป้นอุปกรณ์ ป้อนตัวอักษรให้กับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุคแรกๆโดยเริ่มจากการป้อนผ่านบัตรเจาะรูแล้วให้เครื่องอ่านบัตรเจาะรูอีกครั้งหนึ่ง การป้อนข้อมูลตัวอักขระในยุคแรกจึงเน้นการป้อนข้อมูลเข้าด้วยรหัส ทางบริษัทไอบีเอ็มได้กำหนดรหัสตามโซน <br />ของรูที่เจาะ ซึ่งเรียกว่ารหัสเอปซีดิกมาจนถึงปัจจุบัน <br /><br /> ความเป็นมาในการหาวิธีป้อนข้อมูลด้วยวิธีอื่น <br /> การสั่งงานคอมพิวเตอร์ด้วยแป้นพิมพ์ตัวอักขระยังสร้างความยุ่งยากต่อผู้ใช้ในบางเรื่อง เช่น ต้องจดจำข้อความที่เป็นคำสั่ง การป้อนคำสั่งจะต้องใช้ตัวอักษรหลายตัวเรียงต่อเนื่องกัน ทำให้เสียเวลา ระยะหลังจึงมีคนคิดพยายามหา <br />วิธีการป้อนข้อมูลในรูปแบบอื่น โดยเฉพาะสัญลักษณ์ทางกราฟิก เนื่องจากสามารถสื่อความหมายกับผู้ใช้ได้ดีกว่าตัวอักษรเสียอีก ดังนั้นระบบคอมพิวเตอร์ ในสมัยปัจจุบันจึงหันมาใช้ระบบ GUI-Graphic User Interface กันมาก และมีแนวทางที่จะแพร่หลายต่อไปอีกในโอกาสข้างหน้า <br /> จุดเริ่มต้นของความพยายามหาอุปกรณ์อินพุตมาช่วยงาน โดยเฉพาะในระบบของการติดต่อกับคอมพิวเตอร์มีมากกว่า 30 ปีแล้ว และมีการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากปีค.ศ. 1980 เป็นต้นมา มีการพัฒนาอุปกรณ์ช่วยอินพุตแบบต่างๆ ขึ้นมาใช้กันมาก <br /><br /> กระดาษสเก็ตช์เป็นจุดเริ่มต้น <br /> กระดาษสเก็ตช์ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์อินพุตที่ใช้กับกราฟิกรุ่นแรก จุดเริ่มต้นของกระดาษสเก็ตช์เริ่มจากนายอิเวน อี. ซูเธอร์แลนด์(Ivan E. Sutherland) ได้ออกแบบสร้างขึ้นในขณะที่เขาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่เอ็มไอทีเมื่อ <br />ปีค.ศ. 1962 และเสนอวิทยานิพนธ์ด้วยการใช้กระดาษสเก็ตช์เป็นอุปกรณ์อินพุตสำหรับระบบกราฟิกเพื่อการเขียนรูป ระบบกราฟิกที่ใช้นี้ได้รับการพัฒนาบนเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ TX-2 ของเอ็มไอที ดังรูป <br /><br /><br /><br /> ในระหว่างนั้นอุปกรณ์อินพุตที่ใช้กำหนดรูปภาพทางกราฟิกมีให้ใช้แล้วคือ ปากกาแสง แต่ปากกาแสงมีข้อจำกัดคือ ใช้กำหนดจุด การลากเส้น แต่กระดาษสเก็ตช์ยังให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้อีก เช่น กำหนดขนาดของเส้น ความสัมพันธ์ของรูปกราฟิก ซูเธอร์แลนด์ได้พัฒนาระบบกราฟิกที่ใช้หลักการของวินโดว์มีการขยายหรือย่อภาพได้ <br /><br />เรื่องราวเกี่ยวกับเม้าส์ <br /> ช่วงปี ค.ศ. 1950-1960 การใช้อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่รู้จักกันดีคือปากกาแสง การใช้ปากกาแสงจะต้องชี้ตำแหน่งลงไปบนจอภาพ และต้องยกออกจากจอภพไปมา ทำให้ยุ่งยากต่อการใช้และที่สำคัญคือเทคโนโลยีของปากกาแสงต้องรอให้จอภาพสแกน <br />จุดสว่างวิ่งไปทั้งจอเพื่อซิงก์กับตัวรับที่ปากกา จึงต้งอาศัยเทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อนและทำให้มีราคาแพง <br /> ในปี ค.ศ. 1964 Engelbart ได้ทำการทดสอบอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่มีในขณะนั้น ซึ่งได้แก่ ปากกาแสง จอยสติ๊ก ตลอดจนอุปกรณ์ลากเส้นกราฟที่ต่อกับโพเทนซิโอมิเตอร์ เขาพบว่าอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งเหล่านั้นยังใช้งานได้ไม่ดีนักโดยเฉพาะการที่จะใช้ชี้ตำแหน่งและลากเส้นบางอย่างไปด้วยกัน พลันเขาก็นึกไปถึงอุปกรณ์ที่เขาใช้ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นในปี ค.ศ. 1940 ที่ใช้ในการวัดพื้นที่ที่เรียกว่า พลานิมิเตอร์(planimeter) ซึ่งประกอบด้วยแขนสองแขน พร้อมลูกล้อที่ติดกับแขน ลูกล้อนั้นจะเลื่อนหมุนไปตามแกนคือ แกน X และ <br />แกน Y ในขณะที่เลื่อนปลายแขนไป และหากเขาติดโพเทนซิโอมิเตอรไว้ที่ลูกกลิ้งที่หมุนบอกตำแหน่งแกน X และ แกน Y เขาก็น่าจะทำอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งให้กับคอมพิวเตอร์ได้และจุดนี้เองเป็นต้นเหตุให้เกิดความคิดในการออกแบบเมาส์ที่มีใช้ในยุคต่อมา <br /> เมาส์ตัวแรกยังมีขนาดใหญ่ เพราะต้องใช้แกนหมุนของโพเทนซิโอมิเตอร์ การหมุนนี้จะเป็นสัดส่วนของการเลื่อนเคอร์เซอร์ไปตามแกน X และแกน Y การเลื่อนเคอร์เซอร์ไปมา <br />ในระบบคอมพิวเตอร์จึงทำได้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็สามารถควบคุมการทำงาน การตรวจสอบและใช้ในการชี้ตำแหน่งได้ง่ายwitchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-816495661840061323.post-21972966891118582902010-06-16T07:17:00.000-07:002010-07-07T02:07:17.664-07:00witchyhttp://www.blogger.com/profile/05860652266004817585noreply@blogger.com1